Tuesday, January 17, 2017
Tuesday, December 20, 2016
กิจกรรมที่ 2 ประเภทของโครงงานคอมพิวเตอร์
1. โครงงานพัฒนาสื่อเพื่อการศึกษา ลักษณะเด่นของโครงงานประเภทนี้ คือ เป็นโครงงานที่ใช้คอมพิวเตอร์ในการผลิตสื่อเพื่อการศึกษา โดยการสร้างโปรแกรมบทเรียนหรือหน่วยการเรียน ซึ่งอาจจะต้องมีภาคแบบฝึกหัด บททบทวน และคำถามคำตอบไว้พร้อม ผู้เรียนสามารถเรียนแบบรายบุคคลหรือรายกลุ่มการสอน โดยใช้คอมพิวเตอร์ช่วยสอนนี้ ถือว่าคอมพิวเตอร์เป็นอุปกรณ์การสอน ซึ่งอาจเป็นการพัฒนาบทเรียนแบบออนไลน์ ให้ผู้เรียนเข้ามาศึกษาด้วยตนเองก็ได้ โครงงาน ประเภทนี้สามารถพัฒนาขึ้นเพื่อใช้ประกอบการสอนในวิชาต่างๆ โดยผู้เรียนอาจคัดเลือกเนื้อหาที่เข้าใจยาก มาเป็นหัวข้อในการพัฒนาสื่อเพื่อการศึกษา ตัวอย่างโครงงาน เช่น การเคลื่อนที่แบบโปรเจ็กไตล์ ระบบสุริยจักรวาล ตัวแปรต่างๆ ที่มีผลต่อการชำกิ่งกุหลาบ หลักภาษาไทย และสถานที่สำคัญของประเทศไทย เป็นต้น
2.โครงงานประเภทการประยุกต์ใช้งาน โครงงานประยุกต์ใช้งานเป็นโครงงานที่ใช้คอมพิวเตอร์ในการ สร้างผลงานเพื่อประยุกต์ใช้งานจริงในชีวิตประจำวัน อาทิเช่น ซอฟต์แวร์สำหรับการออกแบบและตกแต่งภายในอาคาร ซอฟต์แวร์สำหรับการผสมสี และซอฟต์แวร์สำหรับการระบุคนร้าย เป็นต้น โครงงานประเภทนี้จะมีการประดิษฐ์ฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์ หรืออุปกรณ์ใช้สอยต่างๆ ซึ่งอาจเป็นการคิดสร้างสิ่งของขึ้นใหม่ หรือปรับปรุงเปลี่ยนแปลงของเดิมที่มีอยู่แล้วให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้น โครงงานลักษณะนี้จะต้องศึกษาและวิเคราะห์ความต้องการของผู้ใช้ก่อน แล้วนำข้อมูลที่ได้มาใช้ในการออกแบบ และพัฒนาสิ่งของนั้นๆ ต่อจากนั้นต้องมีการทดสอบการทำงานหรือทดสอบคุณภาพของสิ่งประดิษฐ์แล้วปรับ ปรุงแก้ไขให้มีความสมบูรณ์ โครงงานประเภทนี้ผู้เรียนต้องใช้ความรู้เกี่ยวกับเครื่องคอมพิวเตอร์ ภาษาโปรแกรม และเครื่องมือต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง
3.โครงงานพัฒนาเกม โครงงานประเภทนี้เป็นโครงงานพัฒนาซอฟต์แวร์เกมเพื่อความรู้หรือเพื่อความ เพลิดเพลิน เกมที่พัฒนาควรจะเป็นเกมที่ไม่รุนแรง เน้นการใช้สมองเพื่อฝึกคิดอย่างมีหลักการ โครงงานประเภทนี้จะมีการออกแบบลักษณะและกฎเกณฑ์การเล่น เพื่อให้น่าสนใจแก่ผู้เล่น พร้อมทั้งให้ความรู้สอดแทรกไปด้วย ผู้พัฒนาควรจะได้ทำการสำรวจและรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับเกมต่างๆ ที่มีอยู่ทั่วไป และนำมาปรับปรุงหรือพัฒนาขึ้นใหม่ เพื่อให้เป็นเกมที่แปลกใหม่ และน่าสนใจแก่ผู้เล่นกลุ่มต่างๆ
4.โครงงานพัฒนาเครื่องมือ โครงงานประเภทนี้เป็นโครงงานเพื่อพัฒนาเครื่องมือช่วย สร้างงานประยุกต์ต่างๆ โดยส่วนใหญ่จะอยู่ในรูปซอฟต์แวร์ เช่น ซอฟต์แวร์วาดรูป ซอฟต์แวร์พิมพ์งาน และซอฟต์แวร์ช่วยการมองวัตถุในมุมต่างๆ เป็นต้น สำหรับซอฟต์แวร์เพื่อการพิมพ์งานนั้นสร้างขึ้นเป็นโปรแกรมประมวลคำ ซึ่งจะเป็นเครื่องมือให้เราใช้ในการพิมพ์งานต่างๆบนเครื่องคอมพิวเตอร์ ส่วนซอฟต์แวร์การวาดรูป พัฒนาขึ้นเพื่ออำนวยความสะดวกให้การวาดรูปบนเครื่องคอมพิวเตอร์ให้เป็นไปได้ โดยง่าย สำหรับซอฟต์แวร์ช่วยการมองวัตถุในมุมต่างๆ ใช้สำหรับช่วยการออกแบบสิ่งของ อาทิเช่น ผู้ใช้วาดแจกันด้านหน้า และต้องการจะดูว่าด้านบนและด้านข้างเป็นอย่างไร ก็ให้ซอฟต์แวร์คำนวณค่าและภาพที่ควรจะเป็นมาให้ เพื่อพิจารณาและแก้ไขภาพแจกันที่ออกแบบไว้ได้อย่างสะดวก
5. โครงงานประเภทการทดลองทฤษฎี โครงงานประเภทนี้เป็นโครงงานที่ใช้คอมพิวเตอร์ช่วยในการ จำลองการทดลองของสาขาต่างๆ ซึ่งเป็นงานที่ไม่สามารถทดลองด้วยสถานการณ์จริงได้ เช่น การจุดระเบิด เป็นต้น และเป็นโครงงานที่ผู้ทำต้องศึกษารวบรวมความรู้ หลักการ ข้อเท็จจริง และแนวคิดต่างๆ อย่างลึกซึ้งในเรื่องที่ต้องการศึกษาแล้วเสนอเป็นแนวคิด แบบจำลอง หลักการ ซึ่งอาจอยู่ในรูปของสูตร สมการ หรือคำอธิบาย พร้อมทั้งารจำลองทฤษฏีด้วยคอมพิวเตอร์ให้ออกมาเป็นภาพ ภาพที่ได้ก็จะเปลี่ยนไปตามสูตรหรือสมการนั้น ซึ่งจะทำให้ผู้เรียนมีความเข้าใจได้ดียิ่งขึ้น การทำโครงงานประเภทนี้มีจุดสำคัญอยู่ที่ผู้ทำต้องมีความรู้ในเรื่องนั้นๆ เป็นอย่างดี ตัวอย่างโครงงานจำลองทฤษฎี เช่น การทดลองเรื่องการไหลของของเหลว การทดลองเรื่องพฤติกรรมของปลาปิรันย่า และการทดลองเรื่องการมองเห็นวัตถุแบบสามมิติ เป็นต้น
Wednesday, September 21, 2016
กิจกรรมที่ 1 โครงงานคอมพิวเตอร์
1. โครงงานคอมพิวเตอร์คือ กิจกรรมการเรียนรู้ของนักเรียนอีกรูปแบบหนึ่ง ที่ทำให้นักเรียนมีอิสระทางความคิดทางการศึกษาปัญหาและสิ่งต่างๆ ที่ตนเองในใจ โดยนักเรียนต้องมีการวางแผนการศึกษาและนักเรียนจะต้องวางแผนการดำเนินงาน ศึกษา พัฒนาโปรแกรม หรืออุปกรณ์ที่เกี่ยวข้อง โดยใช้ความรู้กระบวนการทางวิศวกรรมซอฟต์แวร์ เครื่องคอมพิวเตอร์และวัสดุอุปกรณ์ตลอดจนทักษะพื้นฐานในการพัฒนาโครงงาน เรื่องที่นักเรียนสนใจและคิดจะทำโครงงาน ซึ่งอาจมีผู้ศึกษามาก่อน หรือเป็นเรื่องที่นักพัฒนาโปรแกรมได้เคยค้นคว้าและพัฒนาแล้ว นักเรียนสามารถทำโครงงานเรื่องดังกล่าวได้ แต่ต้องคิดดัดแปลงแนวทางในการศึกษา การวิเคราะห์ข้อมูล การพัฒนาโปรแกรม หรือศึกษาเพิ่มเติมจากผลงานเดิมที่มีผู้รายงานไว้ จุดมุ่งหมายสำคัญของการทำโครงงานเป็นการเปิดโอกาสให้นักเรียนได้รับประสบการณ์ตรงในการใช้ระบบคอมพิวเตอร์แก้ปัญหา ประดิษฐ์คิดค้นหรือค้นคว้าหาความรู้ต่างๆ ใช้คอมพิวเตอร์ในการพัฒนาสื่อการเรียนรู้เพื่อการศึกษา ประดิษฐ์
ฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์ หรืออุปกรณ์ใช้สอยต่างๆ พัฒนาโปรแกรมประยุกต์ต่างๆตลอดจนการพัฒนาเกมคอมพิวเตอร์ เพื่อฝึกให้นักเรียนเป็นบุคคลที่ใฝ่เรียนใฝ่รู้ การพัฒนาความคิดใหม่ๆ ความมีคุณธรรมจริยธรรม เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ให้กับเพื่อนมนุษย์ และอยู่ในสังคมอย่างมีความสุข และทำให้เกิดความสามัคคีในการทำงานร่วมกันเป็นกลุ่ม รวมถึงการฝึกความกล้าแสดงออกในการน าเสนอผลงานของตน
2. คุณค่าของการทำโครงงานคอมพิวเตอร์เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์มีผลกระทบต่อความเจริญก้าวหน้าของทุก ๆ สังคมในโลกปัจจุบันนี้เทคโนโลยีด้านนี้มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว จึงเป็นเรื่องยากที่ประชาชนจะคอยติดตามความก้าวหน้าอยู่ตลอดเวลาและเป็นสิ่งที่ไม่เกิดประโยชน์คุ้มค่าอีกด้วย ดังนั้นการศึกษาเทคโนโลยีของคอมพิวเตอร์จึงต้องศึกษาหลักการและเนื้อหาพื้นฐานเป็นสำคัญ การศึกษาด้านวิทยาการคอมพิวเตอร์เป็นสิ่งจำเป็นเสมือนกับการศึกษาวิทยาศาสตร์ธรรมชาติคอมพิวเตอร์ได้เปลี่ยนแปลงโลกของเราในด้านต่าง ๆ มากมายได้แก่
- สังคมโดยส่วนใหญ่เปลี่ยนจากสังคมอุตสาหกรรมเป็นสังคมสารสนเทศ
- การตัดสินใจในเรื่องต่าง ๆ มักขึ้นอยู่กับข้อมูลซึ่งได้จากระบบคอมพิวเตอร์
- คอมพิวเตอร์กลายเป็นเครื่องมือที่สำคัญแทนเครื่องมืออื่น ๆ ในอดีต เช่น เครื่องพิมพ์ดีด เครื่องคิดเลขเป็นต้น
- คอมพิวเตอร์ถูกใช้ในการออกแบบสถานการณ์หรือปัญหาที่ซับซ้อนต่าง ๆ
- คอมพิวเตอร์เป็นอุปกรณ์หลักที่ใช้ในการติดต่อสื่อสารของโลกปัจจุบัน นักเรียนในระดับมัธยมศึกษาเรียนวิทยาศาสตร์ธรรมชาติ เพื่อความเข้าใจความเป็นไปของธรรมชาติในโลก ในทำนองเดียวกันนักเรียนต้องเรียนวิชาทางวิทยาการคอมพิวเตอร์เพื่อความเข้าใจในสังคมเศรษฐกิจ และวัฒนธรรมของสังคมต่าง ๆ ในยุคสารสนเทศ เนื้อหาวิชาทางด้านเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ในโรงเรียนระดับมัธยมศึกษามีเป้าหมายที่จะพัฒนานักเรียนให้มีความรู้ความเข้าใจในวิทยาการของคอมพิวเตอร์และมีความสามารถในการพัฒนาโปรแกรมได้ ดังนั้น การจัดทำโครงงานคอมพิวเตอร์จะเป็นสิ่งที่ทำให้นักเรียนสามารถบรรลุเป้าหมายได้อย่างสมบูรณ์
ฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์ หรืออุปกรณ์ใช้สอยต่างๆ พัฒนาโปรแกรมประยุกต์ต่างๆตลอดจนการพัฒนาเกมคอมพิวเตอร์ เพื่อฝึกให้นักเรียนเป็นบุคคลที่ใฝ่เรียนใฝ่รู้ การพัฒนาความคิดใหม่ๆ ความมีคุณธรรมจริยธรรม เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ให้กับเพื่อนมนุษย์ และอยู่ในสังคมอย่างมีความสุข และทำให้เกิดความสามัคคีในการทำงานร่วมกันเป็นกลุ่ม รวมถึงการฝึกความกล้าแสดงออกในการน าเสนอผลงานของตน
2. คุณค่าของการทำโครงงานคอมพิวเตอร์เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์มีผลกระทบต่อความเจริญก้าวหน้าของทุก ๆ สังคมในโลกปัจจุบันนี้เทคโนโลยีด้านนี้มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว จึงเป็นเรื่องยากที่ประชาชนจะคอยติดตามความก้าวหน้าอยู่ตลอดเวลาและเป็นสิ่งที่ไม่เกิดประโยชน์คุ้มค่าอีกด้วย ดังนั้นการศึกษาเทคโนโลยีของคอมพิวเตอร์จึงต้องศึกษาหลักการและเนื้อหาพื้นฐานเป็นสำคัญ การศึกษาด้านวิทยาการคอมพิวเตอร์เป็นสิ่งจำเป็นเสมือนกับการศึกษาวิทยาศาสตร์ธรรมชาติคอมพิวเตอร์ได้เปลี่ยนแปลงโลกของเราในด้านต่าง ๆ มากมายได้แก่
- สังคมโดยส่วนใหญ่เปลี่ยนจากสังคมอุตสาหกรรมเป็นสังคมสารสนเทศ
- การตัดสินใจในเรื่องต่าง ๆ มักขึ้นอยู่กับข้อมูลซึ่งได้จากระบบคอมพิวเตอร์
- คอมพิวเตอร์กลายเป็นเครื่องมือที่สำคัญแทนเครื่องมืออื่น ๆ ในอดีต เช่น เครื่องพิมพ์ดีด เครื่องคิดเลขเป็นต้น
- คอมพิวเตอร์ถูกใช้ในการออกแบบสถานการณ์หรือปัญหาที่ซับซ้อนต่าง ๆ
- คอมพิวเตอร์เป็นอุปกรณ์หลักที่ใช้ในการติดต่อสื่อสารของโลกปัจจุบัน นักเรียนในระดับมัธยมศึกษาเรียนวิทยาศาสตร์ธรรมชาติ เพื่อความเข้าใจความเป็นไปของธรรมชาติในโลก ในทำนองเดียวกันนักเรียนต้องเรียนวิชาทางวิทยาการคอมพิวเตอร์เพื่อความเข้าใจในสังคมเศรษฐกิจ และวัฒนธรรมของสังคมต่าง ๆ ในยุคสารสนเทศ เนื้อหาวิชาทางด้านเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ในโรงเรียนระดับมัธยมศึกษามีเป้าหมายที่จะพัฒนานักเรียนให้มีความรู้ความเข้าใจในวิทยาการของคอมพิวเตอร์และมีความสามารถในการพัฒนาโปรแกรมได้ ดังนั้น การจัดทำโครงงานคอมพิวเตอร์จะเป็นสิ่งที่ทำให้นักเรียนสามารถบรรลุเป้าหมายได้อย่างสมบูรณ์
จุดมุ่งหมายที่สำคัญประการหนึ่งของการเรียนการสอนคอมพิวเตอร์ในโรงเรียน คือการที่นักเรียนได้มีโอกาสฝึกความสามารถในการนำความรู้เกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ไปใช้ในการแก้ปัญหา ประดิษฐ์คิดค้นหรือค้นคว้าหาความรู้ต่าง ๆ ได้ด้วยตนเอง ซึ่งวิธีการที่มีประสิทธิภาพมากวิธีหนึ่งคือการที่นักเรียนได้มีโอกาสทำโครงงานคอมพิวเตอร์
3. การทำโครงงานคอมพิวเตอร์และการจัดงานแสดงโครงงานการทำโครงงานคอมพิวเตอร์และการจัดงานแสดงโครงงานจะมีคุณค่าต่อการฝึกฝนให้นักเรียนมีความรู้ ความชำนาญ และมีความมั่นใจในการนาระบบคอมพิวเตอร์ไปใช้ในการแก้ปัญหา ประดิษฐ์คิดค้นหรือค้นคว้าหาความรู้ต่าง ๆ ด้วยตนเองและยังมีคุณค่าอื่น ๆ อีกดังต่อไปนี้
1. สร้างความสำนึกและความรับผิดชอบในการศึกษาและพัฒนาระบบด้วยตนเอง
2. เปิดโอกาสให้นักเรียนได้พัฒนาและแสดงความสามารถตามศักยภาพของตนเอง
3. เปิดโอกาสให้นักเรียนได้ศึกษา ค้นคว้า และเรียนรู้ในเรื่องที่นักเรียนสนใจได้ลึกซึ้งกว่าการเรียนในห้องตามปกติ
4. ส่งเสริมและพัฒนากระบวนการคิด การแก้ปัญหา การตัดสินใจ รวมทั้งการสื่อสารระหว่างกัน
5. กระตุ้นให้นักเรียนมีความสนใจในการเรียนวิชาสาขาคอมพิวเตอร์ และมีความสนใจที่จะประกอบอาชีพทางด้านนี้
6. ส่งเสริมให้นักเรียนได้ใช้เวลาอย่างเป็นประโยชน์ในทางสร้างสรรค์
7. สร้างความสัมพันธ์ระหว่างนักเรียนกับครูและชุมชน รวมทั้งส่งเสริมให้ชุมชนสนใจคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องมากขึ้น
8. เป็นการบูรณาการเอาความรู้จากวิชาต่าง ๆ ที่ได้รับมาจัดทำผสมผสานกับโปรแกรมคอมพิวเตอร์เป็นโครงงานเพื่อน าเสนอต่อชุมชน การจัดทำโครงงานคอมพิวเตอร์นั้น นักเรียนควรมีความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับการทำงานของเครื่องคอมพิวเตอร์ เหตุผลที่ใช้ในการแก้ปัญหา กระบวนการแก้ปัญหา หลักการเขียนโปรแกรมเบื้องต้น และการแทนข้อมูลในคอมพิวเตอร์ ก่อนที่จะเริ่มทำโครงงาน และใช้ความรู้ดังกล่าวเป็นพื้นฐานในการสร้างความรู้ใหม่ในโครงงานคอมพิวเตอร์ โดยในการทำโครงงานนักเรียนอาจจะมีโอกาสได้ทำความรู้จักกับความรู้ใหม่เพิ่มเติมอีกด้วย เช่น ปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence) ฐานข้อมูล (Database) และการสืบค้นข้อมูล(Information Retrieval) เป็นต้น ซึ่งจะขึ้นอยู่กับหัวข้อที่นักเรียนเลือกทำโครงงาน
4. ความสำคัญของโครงงานคอมพิวเตอร์โครงงานคอมพิวเตอร์ คือ ผลงานที่ได้จากการศึกษาค้นคว้าตามความสนใจ ความถนัดและความสามารถของผู้เรียน โดยวิธีการทางวิทยาศาสตร์ โครงงานจึงเป็นกิจกรรมการเรียนรู้ที่มีการเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ โดยผู้เรียนจะหาหัวข้อโครงงานที่ตนเองสนใจ รวมทั้งเชื่อมโยงความรู้ต่าง ๆ และความรู้ด้านคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศ เพื่อสร้างผลงานตามความต้องการได้อย่างเหมาะสม โดยมีครูเป็นที่ปรึกษาและให้คำแนะนำความสามารถที่เกิดจากการท าโครงงานคอมพิวเตอร์โครงงานคอมพิวเตอร์เป็นกิจกรรมการเรียนรู้ที่ทำให้ผู้เรียนเกิดความสามารถในด้านต่าง ๆ ที่สำคัญ 5 ประการดังนี้
1. ความสามารถในการสื่อสาร เป็นความสามารถที่เกิดจากการที่นักเรียนเป็นผู้ทำโครงงานต้องนำเสนอผลงานให้ ครูและเพื่อนนักเรียนให้เข้าใจโครงงานคอมพิวเตอร์ได้อย่างชัดเจน ดังนั้น ผู้ทำโครงงานต้องสื่อสารความคิดในการสร้างสรรค์โครงงานด้วยการเขียน หรือด้วยปากเปล่า รวมทั้งเลือกใช้รูปแบบของสื่ออย่างมีประสิทธิภาพเพื่อนำเสนอแนวคิดในการจัด โครงงานให้ผู้อื่นได้เข้าใจ
2. ความสามารถในการคิด ซึ่งผู้เรียนจะมีการคิดในลักษณะต่าง ๆ ดังนี้
2.1 การคิดวิเคราะห์ เกิดจากการที่ผู้เรียนต้องวิเคราะห์ปัญหาและแยกแยะสาเหตุว่าเกิดเนื่องจากอะไร
2.2 การคิดสังเคราะห์ เกิดจากการที่ผู้เรียนต้องนำความรู้ต่าง ๆ ที่เรียนมา รวมทั้งความรู้จากการค้นหาข้อมูล เพื่อใช้ในการแก้ปัญหาหรือการสร้างสรรค์โครงงาน
2.3 การคิดอย่างสร้างสรรค์ เกิดจากการที่ผู้เรียนนำความรู้มาสร้างสรรค์ผลงานใหม่ ๆ
2.4 การคิดอย่างมีวิจารณญาณ เกิดจากการที่ผู้เรียนได้มีการคิดไตร่ตรองว่าควรทำโครงงานใดและไม่ควรทำโครงงานใด เนื่องจากโครงงานที่สร้างขึ้นอาจส่งผลกระทบต่อสังคมโดยรวม เช่น โครงงานระบบคำนวณเลขหวย สำหรับหาเลขที่คาดว่าสลากกินแบ่งรัฐบาลจะออกในแต่ละงวด อาจส่งผลกระทบต่อ
สังคม ทำให้คนในสังคมเกิดความหมกมุ่นในกับการใช้เงินเล่นหวยมากขึ้น
2.5 การคิดอย่างเป็นระบบ เกิดจากการที่ผู้เรียนคิดแก้ปัญหาอย่างเป็นขั้นตอน โดยใช้ขั้นตอนในการพัฒนาโครงงาน คือ ผู้เรียนเป็นผู้วางแผนในการศึกษา ค้นคว้า เก็บรวบรวมข้อมูล พัฒนา หรือประดิษฐ์คิดค้นผลงาน รวมทั้งการสรุปผลและการน าเสนอผลการศึกษาค้นคว้าด้วยตนเอง โดยมีผู้สอนและ
ผู้ทรงคุณวุฒิเป็นผู้ให้คำปรึกษา
3. ความสามารถในการแก้ปัญหา เกิดจากการที่ผู้เรียนวิเคราะห์ปัญหา เข้าใจ และอธิบายปัญหาทางด้านคอมพิวเตอร์ รวมทั้งประยุกต์ความรู้ ทักษะ และการใช้เครื่องมือที่เหมาะสมกับการแก้ไขปัญหา
4. ความสามารถในการใช้ทักษะชีวิต
5. เกิดจากการที่ผู้เรียนได้นำความรู้และกระบวนการต่าง ๆ ไปใช้ในการพัฒนาโครงงาน และนำไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันได้อย่างเหมาะสม รวมถึงการพัฒนาโครงงาน ก่อให้เกิดการเรียนรู้ด้วยตนเอง อันนำไปสู่การเรียนรู้ตลอดชีวิต
6. ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี เกิดจากการที่ผู้เรียนสามารถเลือกใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ ในการแก้ปัญหาได้อย่างถูกต้องเหมาะสมและมีคุณธรรม
3. การทำโครงงานคอมพิวเตอร์และการจัดงานแสดงโครงงานการทำโครงงานคอมพิวเตอร์และการจัดงานแสดงโครงงานจะมีคุณค่าต่อการฝึกฝนให้นักเรียนมีความรู้ ความชำนาญ และมีความมั่นใจในการนาระบบคอมพิวเตอร์ไปใช้ในการแก้ปัญหา ประดิษฐ์คิดค้นหรือค้นคว้าหาความรู้ต่าง ๆ ด้วยตนเองและยังมีคุณค่าอื่น ๆ อีกดังต่อไปนี้
1. สร้างความสำนึกและความรับผิดชอบในการศึกษาและพัฒนาระบบด้วยตนเอง
2. เปิดโอกาสให้นักเรียนได้พัฒนาและแสดงความสามารถตามศักยภาพของตนเอง
3. เปิดโอกาสให้นักเรียนได้ศึกษา ค้นคว้า และเรียนรู้ในเรื่องที่นักเรียนสนใจได้ลึกซึ้งกว่าการเรียนในห้องตามปกติ
4. ส่งเสริมและพัฒนากระบวนการคิด การแก้ปัญหา การตัดสินใจ รวมทั้งการสื่อสารระหว่างกัน
5. กระตุ้นให้นักเรียนมีความสนใจในการเรียนวิชาสาขาคอมพิวเตอร์ และมีความสนใจที่จะประกอบอาชีพทางด้านนี้
6. ส่งเสริมให้นักเรียนได้ใช้เวลาอย่างเป็นประโยชน์ในทางสร้างสรรค์
7. สร้างความสัมพันธ์ระหว่างนักเรียนกับครูและชุมชน รวมทั้งส่งเสริมให้ชุมชนสนใจคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องมากขึ้น
8. เป็นการบูรณาการเอาความรู้จากวิชาต่าง ๆ ที่ได้รับมาจัดทำผสมผสานกับโปรแกรมคอมพิวเตอร์เป็นโครงงานเพื่อน าเสนอต่อชุมชน การจัดทำโครงงานคอมพิวเตอร์นั้น นักเรียนควรมีความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับการทำงานของเครื่องคอมพิวเตอร์ เหตุผลที่ใช้ในการแก้ปัญหา กระบวนการแก้ปัญหา หลักการเขียนโปรแกรมเบื้องต้น และการแทนข้อมูลในคอมพิวเตอร์ ก่อนที่จะเริ่มทำโครงงาน และใช้ความรู้ดังกล่าวเป็นพื้นฐานในการสร้างความรู้ใหม่ในโครงงานคอมพิวเตอร์ โดยในการทำโครงงานนักเรียนอาจจะมีโอกาสได้ทำความรู้จักกับความรู้ใหม่เพิ่มเติมอีกด้วย เช่น ปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence) ฐานข้อมูล (Database) และการสืบค้นข้อมูล(Information Retrieval) เป็นต้น ซึ่งจะขึ้นอยู่กับหัวข้อที่นักเรียนเลือกทำโครงงาน
4. ความสำคัญของโครงงานคอมพิวเตอร์โครงงานคอมพิวเตอร์ คือ ผลงานที่ได้จากการศึกษาค้นคว้าตามความสนใจ ความถนัดและความสามารถของผู้เรียน โดยวิธีการทางวิทยาศาสตร์ โครงงานจึงเป็นกิจกรรมการเรียนรู้ที่มีการเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ โดยผู้เรียนจะหาหัวข้อโครงงานที่ตนเองสนใจ รวมทั้งเชื่อมโยงความรู้ต่าง ๆ และความรู้ด้านคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศ เพื่อสร้างผลงานตามความต้องการได้อย่างเหมาะสม โดยมีครูเป็นที่ปรึกษาและให้คำแนะนำความสามารถที่เกิดจากการท าโครงงานคอมพิวเตอร์โครงงานคอมพิวเตอร์เป็นกิจกรรมการเรียนรู้ที่ทำให้ผู้เรียนเกิดความสามารถในด้านต่าง ๆ ที่สำคัญ 5 ประการดังนี้
1. ความสามารถในการสื่อสาร เป็นความสามารถที่เกิดจากการที่นักเรียนเป็นผู้ทำโครงงานต้องนำเสนอผลงานให้ ครูและเพื่อนนักเรียนให้เข้าใจโครงงานคอมพิวเตอร์ได้อย่างชัดเจน ดังนั้น ผู้ทำโครงงานต้องสื่อสารความคิดในการสร้างสรรค์โครงงานด้วยการเขียน หรือด้วยปากเปล่า รวมทั้งเลือกใช้รูปแบบของสื่ออย่างมีประสิทธิภาพเพื่อนำเสนอแนวคิดในการจัด โครงงานให้ผู้อื่นได้เข้าใจ
2. ความสามารถในการคิด ซึ่งผู้เรียนจะมีการคิดในลักษณะต่าง ๆ ดังนี้
2.1 การคิดวิเคราะห์ เกิดจากการที่ผู้เรียนต้องวิเคราะห์ปัญหาและแยกแยะสาเหตุว่าเกิดเนื่องจากอะไร
2.2 การคิดสังเคราะห์ เกิดจากการที่ผู้เรียนต้องนำความรู้ต่าง ๆ ที่เรียนมา รวมทั้งความรู้จากการค้นหาข้อมูล เพื่อใช้ในการแก้ปัญหาหรือการสร้างสรรค์โครงงาน
2.3 การคิดอย่างสร้างสรรค์ เกิดจากการที่ผู้เรียนนำความรู้มาสร้างสรรค์ผลงานใหม่ ๆ
2.4 การคิดอย่างมีวิจารณญาณ เกิดจากการที่ผู้เรียนได้มีการคิดไตร่ตรองว่าควรทำโครงงานใดและไม่ควรทำโครงงานใด เนื่องจากโครงงานที่สร้างขึ้นอาจส่งผลกระทบต่อสังคมโดยรวม เช่น โครงงานระบบคำนวณเลขหวย สำหรับหาเลขที่คาดว่าสลากกินแบ่งรัฐบาลจะออกในแต่ละงวด อาจส่งผลกระทบต่อ
สังคม ทำให้คนในสังคมเกิดความหมกมุ่นในกับการใช้เงินเล่นหวยมากขึ้น
2.5 การคิดอย่างเป็นระบบ เกิดจากการที่ผู้เรียนคิดแก้ปัญหาอย่างเป็นขั้นตอน โดยใช้ขั้นตอนในการพัฒนาโครงงาน คือ ผู้เรียนเป็นผู้วางแผนในการศึกษา ค้นคว้า เก็บรวบรวมข้อมูล พัฒนา หรือประดิษฐ์คิดค้นผลงาน รวมทั้งการสรุปผลและการน าเสนอผลการศึกษาค้นคว้าด้วยตนเอง โดยมีผู้สอนและ
ผู้ทรงคุณวุฒิเป็นผู้ให้คำปรึกษา
3. ความสามารถในการแก้ปัญหา เกิดจากการที่ผู้เรียนวิเคราะห์ปัญหา เข้าใจ และอธิบายปัญหาทางด้านคอมพิวเตอร์ รวมทั้งประยุกต์ความรู้ ทักษะ และการใช้เครื่องมือที่เหมาะสมกับการแก้ไขปัญหา
4. ความสามารถในการใช้ทักษะชีวิต
5. เกิดจากการที่ผู้เรียนได้นำความรู้และกระบวนการต่าง ๆ ไปใช้ในการพัฒนาโครงงาน และนำไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันได้อย่างเหมาะสม รวมถึงการพัฒนาโครงงาน ก่อให้เกิดการเรียนรู้ด้วยตนเอง อันนำไปสู่การเรียนรู้ตลอดชีวิต
6. ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี เกิดจากการที่ผู้เรียนสามารถเลือกใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ ในการแก้ปัญหาได้อย่างถูกต้องเหมาะสมและมีคุณธรรม
ข้อมูลจาก : http://www.hs.ac.th/A01%20(2).pdf
5. ขอบข่ายของโครงงาน
องค์ประกอบดังนี้ดำเนินงานโดยนักเรียน เป็นผู้ริเริ่มสร้างสรรค์และครูอาจารย์ เป็นผู้ให้คำแนะนำปรึกษามี 1. เป็นกิจกรรมการเรียนให้นักเรียนศึกษา ค้นคว้า ปฏิบัติดัวยตนเองโดยอาศัยหลักวิชาการ ทางทฤษฎีตามเนื้อหาโครงงานนั้นๆ หรือจากประสบการณ์และกิจกรรมต่าง ๆ ที่ได้พบเห็น มากแล้ว 2. นักเรียนทุกคนพิจารณาจัดทำโครงงานด้วยตนเอง หรือเป็นกลุ่มโดยใช้ระยะเวลาสั้นๆ เป็นภาคเรียน หรือมากว่าก็ได้ แล้วแต่โครงงานเล็กหรือใหญ่ 3. นักเรียนเป็นผู้พิจารณาริเริ่มสร้างสรรค์ คัดเลือกโครงงานที่จะศึกษาค้นคว้าปฏิบัติด้วย ตนเองตามความถนัด สนใจ และความพร้อม 4. นักเรียนเป็นผู้เสนอโครงงาน รายละเอียดของโครงงาน แผนปฏิบัติงานและการแปลผล รายงานผลต่ออาจารย์ที่ปรึกษา เพื่อดำเนินงานร่วมกันให้บรรลุตามจุดหมายที่กำหนดไว้ 5. เป็นโครงงานที่เหมาะสมกับความรู้ ความสามารถของนักเรียนตามวัยและสติปัญญา รวมทั้งการใช้จ่ายเงินดำเนินงานด้วย
ข้อมูลจาก
: https://www.gotoknow.org/posts/314100
|
Wednesday, September 7, 2016
Tuesday, August 23, 2016
ใบงานที่ 5 บทความสารคดีที่นำมาใช้สำหรับการเขียนโครงร่าง
https://www.pinterest.com/pin/364721269806192503/
จัดฟันแฟชั่น ถูก(เเต่คุณภาพ???)
จัดฟันแฟชั่น หรือ ดัดฟันแฟชั่น เป็นภัยอันตรายก่อนอื่นมาแยกกันก่อน จัดฟัน กับ จัดฟันแฟชั่น ต่างกันยังไง
จัดฟัน
– ทำกับหมอฟันอย่างถูกวิธี เข้าไปร้านหมอฟัน แล้วพบทันตแพทย์ค่ะ ทำตามหมอสั่ง
จัดฟันแฟชั่น หรือ ดัดฟันแฟชั่น
– ไปซื้อยางจัดฟัน เหล็กจัดฟัน มาทำเอง จากทาง facebook บลาๆ แล้วมาใส่เองค่ะ พัง จบ พัง พัง
– ไปร้านที่ดูเหมือนจะหมอฟัน แต่ขายยางจัดฟัน เหล็กจัดฟัน แล้วรับใส่ให้ด้วย ไม่ต้องตรวจ ใส่เลย พังแน่นอนค่ะ
ผู้ตายขอเงินแม่ 2,000 บาท ไปจัดฟันแฟชั่น ตามเพื่อนๆกลับมาปวดบวมหลายวัน ไปหาหมอทนไม่ไหวเสียชีวิตซึ่งอาจมาจากความไม่สะอาดของเครื่องมือ ทำให้ติดเชื้อได้ประกอบกับไม่ได้ทำกับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
ผู้ตายตัวเหลืองซีด ซึมเศร้าไปจัดฟันที่ร้านสำหรับจัดเพื่อแฟชั่น เท่านั้นไม่ได้มีหมอผู้เชี่ยวชาญมาทำ
ซึ่งอาจติดเชื้อจากอุปกรณ์ที่ไม่สะอาดนี้คือ 2 กรณีตัวอย่างที่เกิดขึ้นกับอันตรายของ การจัดฟันแฟชั่น
ที่น้องๆ อยากจะทำกัน เจ๊อยากเอามาเตือนสติน้องๆ หนูๆต่างประเทศเขาไม่ได้เห็นว่าการจัดฟัน เป็นแฟชั่นเขาเป็นว่าเป็นการรักษาฟันธรรมดา ธรรมดา
สาเหตุหลักๆ ของการไปจัดฟันแฟชั่น
ตามเพื่อน
ตามในสิ่งที่ควรตามนะคะ ลองเอาข้อมูลจริงๆไปเถียงกันเด็กยุคใหม่แล้ว ฉลาดเลือก ฉลาดทำ
เงินน้อย
งบน้อยหอยสังข์เรื่องนี้เจ๊ไม่สามารถช่วยได้จริงๆ แต่ถ้ามีปัญหาของฟันจริงๆ ลองปรึกษาพ่อแม่ดูค่ะ
หรือทำงานเก็บเงินเองค่ะ งานพาทไทม์ทั่วๆไปเยอะมาก ได้สังคม เจอคนมากมายจัดฟันจริงๆ ใช้จ่ายสูง แต่เพื่อสุขภาพปากที่ทำงานทุกวันของเรา ดูแลมันเถอะค่ะ
http://www.judfunschool.com/%E0%
ข้อเสียของ การจัดฟันแฟชั่นลวดจัดฟันที่ขายกัน มีลักษณะเป็นลวดสแตนเลตซึ่งมีสารปนเปื้อนหลายชนิด เข้าไปสะสมในร่างกายอาจทำให้เกิด ไตวาย ได้ลวดจัดฟัน ไม่สะอาดทิ้มกระพุ้งปาก เป็นแผลติดเชื้อ เรื้อรัง ได้ขนาดจัดฟันกับทันตแพทย์ ยังทิ้มเลย ยางจัดฟัน สีสันสวยงาม ไม่ได้มาตราฐานพอเข้าไปอยู่ในปาก เจอน้ำลาย อาหาร ต่างๆ ที่ผ่านปากจะทำให้สียางจางลด ซึ่งถ้าไม่ได้มาตราฐานอาจจะมีสารที่เคลือบอยู่สะสมในร่างกาย ขั้นตอนการทำไม่ได้มาตราฐานการจัดฟันจากร้านที่ไม่ใช่แพทย์จริง อาจไม่มีการฆ่าเชื่ออุปกรณ์ต่างๆแล้วปากขอเราคิดดูสิ เชื้อโรคจากคนอื่น อาจเข้าปากเราได้ ติดเครื่องมือจัดฟันเอง หลุดเข้าคอ อาจถึงตายบางคนซื้อแต่ยางจัดฟัน เหล็กจัดฟัน มาติดเองใช้กาวอะไรก็ไม่รู้ ตราช้างหรือป่าว ติด ทำหลุด เข้าปาก ติดคอตาย ก็ได้นะคะ ฟันสวย กลายเป็น ฟันพัง! หลายคนฟันเรียงสวยงาม แต่อยากมีแฟชั่นแต่ไม่รู้หรอกว่าฟันเราจะพังได้ เพราะยางจัดฟันที่ใช้ดึงมีแรงขยับฟันได้มากมายนัก ฟันอาจเบี้ยวไม่เป็นถ้าไม่งั้นหมอจะเรียนกันถึง 6 ปี ทำไม เพื่อมาจัดฟันแถมยังต้องเรียนสาขาเฉพาะอีก หลายปี
ต้องถอนฟันทิ้ง เพราะฟันตายการใส่ยางจัดฟัน ดึงฟันเอง แบบไม่รู้อะไรนั้นถ้าเกิดการเคลื่อนของฟันมากๆ จะทำให้ฟันตายได้จัดฟันจากทันตแพทย์จึงใช้เวลานาน 2 ปีขึ้นเลยทีเดียว
สุดท้าย…หวังว่า น้องๆ จะกลัวกันบ้างไรบ้างจัดฟันกับทันตแพทย์ที่ถูกต้องกัน
ปากอยู่กับเราไปจบตายนะคะ ดูแลมันดีๆและดูแลตัวเองด้วย คนที่กลับใจแล้ว อยากจะยิ้มสวย ฟันสวยลองอ่านบทความเหล่านี้ต่อเลยจ้า
ท้ายสุดละ…จัดฟันแฟชั่น ระวังฟันพัง!
แหม๋… นี้ก็ยุคไหนกันละคะ จัดฟัน เขาพัฒนาไปกันไกลแสนไกล แต่ รูปแบบ ในการ จัดฟัน ก็ยังคงเค้าเดิม ๆ อยู่เพียงแต่ อุปกรณ์ เทคนิคต่าง ๆ ถูกพัฒนามากขึ้นเท่านั้นเอง
รูปแบบการจัดฟันแบบต่างๆ ราคาจัดฟัน และจัดฟันนานแค่ไหนกันนะ
จัดฟัน แบบโลหะด้านนอก
จัดฟัน แบบโลหะด้านใน
จัดฟัน แบบสีเหมือนฟัน (เซรามิก)
จัดฟัน แบบใส ถอดออกได้
รายละเอียดการจัดฟันแบบต่าง ๆ ด้านล่างเลยจ้า
จัดฟัน แบบโลหะด้านนอก การจัดฟันแบบนี้ คงจะเห็นกันได้ทั่วไป มีเหล็กด้านนอกเปลี่ยนยางสีสันสวยงามนิยมกันมานานแสนนาน จริง ไม่ได้โม้ ปัจจุบันเขาก็พัฒนาให้วัสดุมันเล็กลง ปวดน้อยลงประสิทธิภาพมากขึ้น
ผู้ที่เหมาะ…
– คนที่มีเงินไม่เยอะสำหรับจัดฟัน
– อยากมีแฟชั่นสวยๆ ที่ฟัน (บางทีก็อาจไม่สวยนะคะ บ่งตรงรักจุงเบย 555)
ระยะเวลาการจัดฟัน…
– โดยเฉลี่ยอยู่ที่ 2-5 ปี แล้วแต่สภาพฟันแต่ละคน และการมีระเบียบวินัยของตัวเธอเอง
จัดฟัน แบบโลหะด้านนอก
ข้อดี…
– เศษอาหารติดได้ยากสุดละ เพราะวัสดุที่ใช้จัดฟัน มันวาว ลื่นๆ นิดๆ – – (แต่ก็ติดบ่อยอยู่ 555)
– ทำความสะอาดง่าย ก็แน่นอนละ อยู่ด้านหน้า เปลี่ยนสียางแล้ว คนเห็น สวย ๆ เก๋ๆ 55555ข้อเสีย…– บางคนอาจไม่ชอบ 5555– อาจเกิดอุบัติเหตุกับเหล็กจัดฟันได้ – -* เหล็กจัดฟันขูดกระพุ้งแก้ม เป็นต้น ราคามาตราฐานการจัดฟันทั่วไป 30,000 – 50,000 บาท
จัดฟัน แบบโลหะด้านใน การจัดฟันแบบนี้เราจะไม่ค่อยเห็น เพราะเราจะสังเกตุไม่เห็น
มันจะอยู่ด้านหลังฟัน ซึ่งเหมาะกับคนที่อยากแก้ปัญหาการเรียงตัวของฟัน
แต่ไม่อยากให้คนรู้ว่าเราจัดฟันอยู่ ใครจะทำละ ก็ ดารา ไงคะ
ผู้ที่เหมาะ…
– ไม่อยากให้เห็นเหล็กจัดฟัน เพราะเขินอาย หรือหน้าที่การงาน
– ต้องมีเงินพอสำควร สำหรับการจัดฟันแบบนี้
– ต้องผ่านการพิจารณาจากแพทย์ ว่าเหมาะสมจะทำได้ไหม ถึงแม้จะมีตังก็ตาม
ระยะเวลาการจัดฟัน…
– ระยะเวลาพอๆกับการจัดฟันแบบโลหะด้านนอก(2-5ปี) แต่บางครั้งอาจเร็วกว่านิดหน่อย
จัดฟัน แบบโลหะด้านใน
ข้อดี…
– คนไม่รู้ว่าเราจัดฟัน เพราะมันอยู่ด้านหลัง ^^
– ไม่ทำลายผิวฟันด้านหน้า เพราะเราจะทำความสะอาดได้ปกติ
ข้อเสีย…
– ทำความสะอาดยาก เพราะมันอยู่ด้านหลังฟัน ><
– ราคาแพงมาก เพราะ ติดวัสดุยาก ต้องทำซีกต่อซีก (นึกภาพนะ ฟันด้านหน้าเรียบๆ คล้ายกันหมด ด้านในนี้เป็นร่องไม่เท่ากันเลย) แถมหมอต้องมีความเชียวชาญด้วย
จัดฟันราคา…
– หลัก 100,000 บาท ขึ้นไปจ้า เจ๊ก็อยากทำ
จัดฟัน แบบสีเหมือนฟัน (เซรามิก) การจัดฟันแบบนี้ เหมาะสำหรับคนที่ไม่อยากให้คนสังเกตุเห็นว่าจัดฟันเหมือนกัน
แต่ว่าการจัดฟันจะจัดด้านหน้าเหมือนโลหะ เพียงแต่เปลี่ยนเป็นเซรามิกแทน
แล้วจะใช้ยางที่ยึดเป็นสีใสๆ
ผู้ที่เหมาะ…
– ไม่อยากให้คนรู้ว่าจัดฟัน
– หรือคนที่อยากจะจัดข้างใน แต่หมอไม่ให้เพราะสภาพฟันไม่อำนวยความสะดวก เลยมาซบอกอันนี้แทน
ระยะเวลาการจัดฟัน…
– เวลาปกติเลย 2-5 ปี แล้วแต่สภาพฟันแต่ละคนอีกนั้นละค่า
จัดฟัน แบบสีเหมือนฟัน (เซรามิก)
ข้อดี…
– คนไม่ค่อยเห็นไง ว่าเราจัดฟันอยู่
– ทำความสะอาดง่าย เพราะอยู่ด้านหน้า
ข้อเสีย…
– ต้องระมัดระวังในการดูแล เพราะเป็นเซรามิก แข็งแรงไม่เท่ากับโลหะแน่นอน
– ราคาแพงกว่า แบบโลหะ ธรรมดา ^^
– ฟันเหลือง ทำสีเหมือนฟัน เหลืองทั้งปาก
จัดฟันราคา…
– เคาะราคาที่ 60,000 – 90,000 บาทจ้า เพราะเซรามิกเลยแท้ๆ ที่ต้องขึ้นรูปเพื่อสีฟันเรา และต้องคงทนอยู่ได้นานๆ
จัดฟัน แบบใส ถอดออกได้ การจัดฟันแบบใส ถอดออกได้ เหมาะกับ คนรวยและมีวินัยค่ะ
ทางทันตแพทย์จะส่งข้อมูลโครงสร้างฟันเรา ไปห้องเลปที่อเมกาเลยค่า
เพื่อไปขึ้นรูปแบบพิมพ์ 3 มิติ ตามฟันในปากเรา เพื่อเอามาให้เราใส่ ปรับฟันทีละนิด
สีใส ใส่แล้วแนบฟัน ถอดออกตอนกินข้าว แปรงฟัน ที่เหลือใส่ตลอด
จะทำอันนี้ได้ แพทย์ต้องดูวินัยผู้จัดฟันด้วย
ผู้ที่เหมาะ…
– ไม่อยากให้คนรู้เลยว่าจัดฟัน แทบดูไม่ออก
ระยะเวลาการจัดฟัน…
– ใช้ 1-2 ปี ซึ่งใช้เวลาน้อยกว่าจัดฟันทั่วๆไป แล้วแต่สภาพฟันของเธอนะคะ
จัดฟัน แบบใส ถอดออกได้
ข้อดี…
– ฟันไม่ถูกรบกวนอะไรเลย หมดปัญหาเรื่องการดูแลฟันยาก นอกจากไม่แปรงเอง – -*
– คนก็ดูไม่ค่อยออกเหมือนกันว่าจัดฟัน
ข้อเสีย…
– แพงมาก แพงเว่อ ไปไกลถึงห้องเลปต่างประเทศ เทคโนโลีสุดๆ หมอต้องชำนาญด้วย
– พบหมอค่อนข้างบ่อย ต้องเปลี่ยนอันใหม่
– ต้องมีวินัย
– หลักแสนค่ะ อุปกรณ์ส่งตรงจากเมืองนอก
การจัดฟันแบบต่าง ๆ ภาษาชาวบ้าน หวังว่าเป็นประโยชน์กับประชากรทุกภูมิภาคนะคะและท้ายสุด
การจัดฟันทุกรูปแบบ พวกเธอควรจะ…ความปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ และดูแลรักษาฟันให้มากขึ้น
การแปรงฟันที่ถูกวิธี 100% โดยผู้เชี่ยวชาญ
การแปรงฟัน คือการขจัดสิ่งสกปรกให้หลุดออก ซึ่งควรทำเป็นประจำอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง แต่บางคนแม้แปรงฟันตามคำแนะนำแล้วก็ยังคงฟันผุ ซึ่งไม่น่าแปลกใจหากการแปรงฟันของคุณเพียงแค่ขยับแปรงไปมา ไม่กี่ครั้งแล้วก็บ้วนออก หรืออีกกรณีคือพยายามแปรงฟันแปรงๆนานๆ ทำให้แปรงบาน หมดแรงสปริง ก็จะทำให้หมดประสิทธิภาพในการทำความสะอาด แถมเสี่ยงกับโรคเหงือกอักเสบเสียอีก
หลักการรักษาความสะอาดช่องปากที่ถูกหลัก จริงๆแล้วทำไม่ยากเลย เพียงเลือกยาสีฟันที่ดี แปรงสีฟันที่มีมาตรฐานและขั้นตอนการแปรงฟันที่เหมาะสม ซึ่งหากทำได้ตามนี้ก็ลดปัญหาฟันผุได้อย่างเหลือเชื่อ
5 ปัจจัยของ แปรงฟันที่ถูกวิธี มีประสิทธิภาพ
การแปรงฟันอย่างมีประสิทธิภาพ จะประกอบด้วยปัจจัย 5 ข้อ ดังนี้
1. ขนแปรงเลือกขนแปรงที่นุ่ม สามารถป้องกันอาการเสียวฟันและการสึกกร่อนของผิวฟัน พร้อมซอกซอนตามร่องฟันที่เป็นแหล่งสะสมของเศษอาหารและคราบจุลินทรีได้อย่างทั่วถึง จากความเชื่อเดิมที่ว่าการแปรงฟันแรงๆจะทำให้ฟันสะอาดนั้น เป็นเรื่องที่เข้าใจผิดอย่างร้ายแรง ในความเป็นจริงการมีแปรงขนนุ่มที่มีการสปริงตัวได้ดี จะช่วยเสริมแรง และทำความสะอาดได้ดีกว่า
2. บริเวณที่ควรแปรงฟันบริเวณที่มีการสะสมของเศษอาหารและคราบแบคทีเรียมากที่สุด คือบริเวณเหงือกในช่วงรอยต่อระหว่างเหงือกและฟันที่จะมีคราบจุลินทรีย์และเศษอาหารเข้าไปติดได้ง่ายที่สุด และเป็นส่วนที่ตรวจพบฟันผุบ่อยที่สุด ดังนั้นเราจึงควรใส่ใจกับการทำความสะอาดบริเวณนั้นเป็นพิเศษ ซึ่งการทำความสะอาดที่ต้องที่แปรงอย่างเบามือและใช้แปรงขนนุ่ม ที่มีการคืนรูปแปรงที่ดีและกระทบเหงือกน้อยที่สุด การแปรงเหงือกไม่เพียงช่วยให้ทำความสะอาดสิ่งสกปรกแต่ยังช่วยนวดเหงือกให้แข็งแรงด้วย
3. ด้านของฟันที่แปรงการแปรงฟันที่ดีควรแปรงฟันให้ทั่วทุกซี่และทุกด้าน ไม่ควรใส่ใจกับบริเวณใดเป็นพิเศษ เพราะเมื่อคราบจุลินทรีย์และแบคทีเรียก่อตัว ผลกระทบก็จะเกิดขึ้นทุกที่ในช่องปากได้เช่นกัน โดยจุดที่แปรงสีฟันเข้าถึงยากที่สุด คือบริเวณฟันที่อยู่ติดกระพุ้งแก้มด้านในสุด และด้านในของฟันรวมถึงเพดานปาก เป็นส่วนที่อับสายตา สังเกตได้ยาก จำเป็นต้องใช้เวลาและละเอียดอ่อน ส่วนลิ้นและร่องเหงือกมักจะเป็นจุดที่ถูกละเลยการแปรงมากที่สุด แต่จริงๆแล้วปัญหากลิ่นปากและแบคทีเรียที่ไม่หมด เกิดได้จากทุกที่แม้บริเวณลิ้น ดังนั้นจึงต้องใส่ใจให้มีความสะอาดเท่ากันและทั่วถึง
4. เวลาที่ใช้จากการทดสอบพบว่า แปรงสีฟันสามารถแปรงฟันได้ครั้งละ 2-3 ซี่ ซึ่งเมื่อคำนวณเวลาจากการแปรงฟันทั้งด้านในและด้านนอกอย่างทั่วถึง จะใช้เวลาทั้งสิ้นประมาณ 2 นาที ดังนั้นการแปรงฟันควรแปรงอย่างตั้งใจ ไม่รีบร้อน เพื่อให้การแปรงมีประสิทธิภาพส่งผลต่อสุขภาพช่องปากที่ดี
5. ยาสีฟันการแปรงฟันควรใช้ควบคู่กับยาสีฟันทุกครั้ง ซึ่งการเลือกยาสีฟันที่ดี ต้องมีส่วนผสมของฟลูออไรด์ ในการป้องกันผุ เพราะเมื่อเราแปรงฟันไปได้ในระยะหนึ่งแล้วฟลูออไรด์จะเข้าไปทำปฏิกิริยาป้องกันฟัน เคล็ดลับการเลือกยาสีฟันที่ดี ควรเลือกยาสีฟันที่ไม่มีสีเข้มหรือเลือกใช้ที่มีส่วนผสมของสารฟอกฟันขาว จะช่วยป้องกันฟันเหลืองและให้ฟันขาวสะอาดขึ้น
การแปรงฟันที่ถูกวิธี
การแปรงฟันที่ถูกวิธี หมายถึง การแปรงโดยใช้แปรงสีฟันขนนุ่มควบคู่กับยาสีฟันที่มีส่วนผสมของฟลูออไรด์ โดยใส่ใจกับบริเวณที่เสี่ยงต่อการสะสมของเชื้อโรคสูง คือ ฟันกราม ฟันด้านใน และลิ้น
อุปกรณ์สำหรับการแปรงฟัน
แปรงสีฟันการเลือกแปรงที่ดี คือ ต้องมีความยาวของคนแปลงคลุมตัวฟัน ประมาณ 1 – 1.5 เท่า ขนแปรงอ่อนนุ่มปลายมนเพื่อไม่กระทบต่อผิวฟันและบาดเหงือก อีกทั้งการคืนตัวของแปรงต้องมีการสปริงตัวที่ดี เพื่อการทำความสะอาดที่ดีกว่า
ยาสีฟัน
ยาสีฟันที่ดี คือ มีส่วนผสมของฟลูออไรด์ ซึ่งในยาสีฟันเด็กจะมีปริมาณฟลูออไรด์ผสมอยู่น้อยกว่าของผู้ใหญ่ ฟลูออไรด์มีผลช่วยลดสภาวะความเป็นกลดในช่องปาก พร้อมเคลือบเสริมความแข็งแรงให้กับฟัน ดังนั้นไม่ควรละเลย เพราะผิวฟันของเรามีการสูญเสียของผิวเคลือบฟันอยู่ตลอดเวลา
วิธีการแปรงฟันที่ถูกวิธี
ฟันของเรามักจะมีจุดที่เข้าถึงง่ายและยากแตกต่างกัน ซึ่งบริเวณที่เข้าถึงได้ยากนั้นจะทำให้แปรงได้ไม่สะอาด เช่น บริเวณฟันกรามล่างด้านใน บริเวณฟันกรามบนที่ติดกับกระพุ้งแก้ม
การแปรงฟันให้สะอาดทั่วถึง ขอแนะนำให้เริ่มจากจุดที่แปรงได้ยากที่สุดก่อน ซึ่งต้องใช้เวลาและอย่าลงแรง จนสะอาดจากนั้นจึงเน้นฟันซี่ถัดไปจนครบทุกด้าน เพื่อความสะอาดของช่องปากอย่างทั่วถึง ซึ่งมีวิธีดังนี้
วิธีการแปรงฟันบนModified Bass Technic หรือวิธี ขยับและปัด ทั่วทุกบริเวณ โดยยกขนแปรงให้เฉียงขึ้นชิดกับเหงือกและเพดาน จากนั้นใช้วิธี กด-ดึง-ปัด โดยให้ปลายขนแปรงจากเดิมที่ยกขึ้นเปลี่ยนมาขนานกับแนวของซี่ฟันบริเวณนั้น กดแนวขนแปรงส่วนสุดท้ายให้ชิดกับบริเวณคอฟัน แล้วดึงแปรงลง ซึ่งขนแปรงต้องสัมผัสกับผิวฟันตลอด
การแปรงในส่วนของฟันกรามด้านบน ทั้งด้านแก้มและเพดานปาก และฟันหน้าด้านที่ติดกับริมฝีปาก ขณะแปรงฟันให้เอียงขนแปรงเข้าหาเหงือก 45 องศา ขนแปรงจะแทรกเข้าร่องเหงือกได้เล็กน้อย ให้ออกแรงถูกไปมาประมาณ 3 – 4 ครั้ง แล้วปัดแปรงตวัดลงเข้าหาตัวฟัน จนสุดปลายฟัน ทำซ้ำกันประมาณ 5 – 6 ครั้ง
วิธีการแปรงฟันล่างการแปรงฟันบริเวณกรามล่างด้านแก้ม ด้านลิ้น ด้านริมฝีปาก ให้ใช้วิธีเดียวกับฟันบน คือวิธี ขยับและปัด โดยเอียงแปรงสีฟันลง 45 องศาให้ปลายขนแปรงแทรกเข้าไปในร่องเหงือก ถูไปมาอย่างเบามือ 3 – 4 ครั้งแล้วจึงปัดขึ้นเข้าหาตัวฟัน ทำเช่นนี้อีก 5 – 6 ครั้ง เช่นกัน
วิธีการแปรงฟันด้านบดเคี้ยวให้วางขนแปรงตั้งฉากกับฟันที่เคี้ยว ออกแรงถูไปมา 4 – 5 ครั้ง แปรงให้ทั่วทั้งด้านทุกซี่
การแปรงลิ้นเป็นส่วนหนึ่งที่ไม่คนส่วนใหญ่มักละเลย ซึ่งจริงๆแล้วลิ้นเป็นส่วนหนึ่งที่เป็นแหล่งสะสมของแบคทีเรีย โดยอาจมีทั้งเศษอาหาร หรือหากสังเกตุจะพบฝ้าขาวบริเวณลิ้น ซึ่งหากไม่ทำความสะอาดปล่อยทิ้งไว้ จะทำให้เกิดกลิ่นปาก แม้จะแปรงฟันก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ ดังนั้นการทำความสะอาดลิ้น จึงเป็นสิ่งสำคัญ โดยใช้ขนแปรงสีฟันถูเบาบนลิ้น
ข้อควรจำเกี่ยวกับการแปรงฟันอย่างถูกวิธีควรแปรงฟันทุกครั้งหลังรับประทานอาหาร โดยเฉพาะขณะรับประทานอาหารประเภทแป้งและน้ำตาล
ใส่ใจกับการแปรงฟันให้ทั่วทั้งปาก ทั้งฟันบนและฟันล่าง ไม่ว่าจะด้านในหรือด้านนอกให้ทั่ว
การแปรงฟัน ควรแปรงแต่ละด้านให้ได้ประมาณ 4 – 5 ครั้ง และควรทำอย่างเบามือ
แปรงฟันอย่าใจร้อน ควรแปรงฟันให้ได้ประมาณ 2 – 3 นาที
การแปรงฟันที่ควรหลีกเลี่ยง คือการแปรงฟันที่กดด้ามแปรงขยับตามขวาง หรือขึ้นลงพร้อมกันแรงๆ เพราะจะทำให้เหงื่อกร่น และฟันสึกกร่อนอย่างรวดเร็ว
ควรใส่ใจกับขนาดของแปรงสีฟัน ต้องสามารถเข้าถึงจุดที่เข้าถึงยากได้ดี และขนแปรงต้องไม่แข็งจนเกินไป ที่มา : http://www.dentalthai.org/article/
ยาสีฟันสมุนไพรข่อย รสเปเปอร์มินท์ จากธรรมชาติ
สูตรและวิธีการทำผลิตภัณฑ์สปา "ยาสีฟันสมุนไพรข่อย รสเปเปอร์มินท์ จากธรรมชาติ" มรดกทางภูมิปัญญาของไทย: พื้นสมุนไพรไทยจากธรรมชาติที่นิยมใช้ทำยาสีฟันก็คือ ข่อย พบว่าเปลือกข่อยมีสารเทนนิน มีฤทธิ์ระงับเชื้อ ทั้งช่วยเคลือบฟัน นอกจากนี้ก็มีเกลือ ใช้เป็นผงขัดฟัน สารปรุงแต่งกลิ่นและรสเปเปอร์มินท์เติมเข้าไป ก็เพื่อทำให้ยาสีฟันน่าใช้ยิ่งขึ้น ใช้แล้วรู้สึกปากสะอาดสดชื่นมากขึ้น...
ส่วนผสมของผลิตภัณฑ์สปา "ยาสีฟันสมุนไพรข่อย รสเปเปอร์มินท์ จากธรรมชาติ" ประกอบด้วย
• ผงแคลเซียมคาร์บอเนต 3 ช้อน
• ผงฟู 2 ช้อนโต๊ะ
• เกลือป่น 1 ช้อนโต๊ะ
• น้ำมันปเปอร์มินท์ 10 หยด
• ใบข่อยตากแห้งบดละเอียด 1 ช้อนโต๊ะ
วิธีการทำผลิตภัณฑ์สปา "ยาสีฟันสมุนไพรข่อย รสเปเปอร์มินท์ จากธรรมชาติ" • ผสมผงแคลเซียมคาร์บอเนต ผงฟู และเกลือป่น คนให้เข้ากัน
• ผสมผงข่อยเข้ากับส่วนผสมข้างต้น
• หยดน้ำมันเปเปอร์มินท์เข้ากับส่วนผสม คนให้เข้ากัน
• นำส่วนผสมที่ได้บรรจุใส่กระปุกมีฝาปิด พร้อมใช้หรือจำหน่าย
ส่วนประกอบพื้นฐานของยาสีฟันแนวธรรมชาติ (Natural Toothpaste)ยาสีฟันแนวธรรมชาติ (Natural toothpastes) โดยทั่วไปจะไม่ใช้สารขัดถูที่มีส่วนประกอบของอลูมินัม แต่จะใช้สารประกอบของแคลเซียม เช่น แคลเซียมคาร์บอเนต รวมทั้งใช้เกลือแกง(Sodium Chloride) ผงฟูหรือโซเดียมไบคาร์บอเนต(Sodium bicarbonate) ปริมาณการใช้สารขัดถูในการผลิตยาสีฟันนั้น มีการใช้ตั้งแต่ 2-50 % โดยน้ำหนัก ตามมาตรฐานอุตสาหกรรม (มอก.45-2516) กำาหนดให้สารขัดถูในผลิตภัณฑ์ยาสีฟันที่ผลิตออกจำหน่าย ต้องมีปริมาณสารขัดถูไม่น้อยกว่าร้อยละ 40 โดยน้ำหนัก
สารทำความสะอาด (Foaming Agents)ยาสีฟันแนวธรรมชาติ จะใช้สบู่ธรรมชาติ (สบู่ที่ผลิตจากน้ำมันพืชและสารละลายโซเดียมไฮดรอกไซด์) เป็นสารทำความสะอาด บดเป็นผงใช้เป็นส่วนผสมในยาสีฟัน ใช้ในปริมาณ 1-2 % โดยน้ำหนัก
สารให้ความชุ่มชื้น (Humectant)สารให้ความชุ่มชื้นนี้ใช้ในกรณีที่ผลิตยาสีฟันเหลวบรรจุหลอด ถ้าผลิตยาสีฟันผง ก็ไม่ต้องใช้สารให้ความชุ่มชื้นนี้ทำหน้าที่ดูดความชื้นเอาไว้ เพื่อไม่ให้ยาสีฟันแข็งตัว ยังคงความเหลวอยู่ ยาสีฟันแนวธรรมชาติจึงใช้กลีเซอรีนหรือซอร์บิทอลที่ได้จากพืช ในอัตราความเข้มข้น 15-30% ปริมาณที่ใช้ประมาณ 10-30% โดยน้ำหนัก
สารฆ่าเชื้อแบคทีเรีย (Antibacteria agents)สารนี้ไม่ได้เป็นสารหลักในยาสีฟัน แต่เป็นสารที่ใส่เพิ่มเข้าไปในยาสีฟันเพื่อช่วยลดจำานวนแบคทีเรียในช่องปาก ยาสีฟันแนวธรรมชาติที่ใช้ผงฟู หรือโซเดียมไบคาร์บอเนตเป็นสารขัดถู ก็จะได้สรรพคุณในการฆ่าเชื้อแบคทีเรียด้วย นอกจากนั้นสมุนไพรหลายชนิดทั้งในรูปของสมุนไพรแห้งบดเป็นผง และน้ำมันสกัดสมุนไพรก็มีคุณสมบัติในการฆ่าเชื้อแบคทีเรีย และรักษาโรคในช่องปากได้ดี เช่น กานพลูอบเชย เทียนข้าวเปลือก เป็นต้น
สารปรุงแต่งกลิ่นและรส (Flavors)สารปรุงแต่งกลิ่นและรสนี้เติมเข้าไป ก็เพื่อทำให้ยาสีฟันน่าใช้ยิ่งขึ้น ใช้แล้วรู้สึกปากสะอาดสดชื่นมากขึ้น รสที่นิยมใช้กันทั่วไปก็คือ เมนทอล เปเปอร์มินท์ สเปียร์มินท์ เป็นต้น ยาสีฟันแนวธรรมชาติจะใช้สารสกัดและน้ำมันสกัดจากสมุนไพร ซึ่งมีมากมายหลายชนิดที่สามารถนำมาเติมลงในยาสีฟัน ซึ่งนอกจากจะช่วยเพิ่มกลิ่นและรสแล้ว สมุนไพรหลายตัวยังเพิ่มคุณสมบัติรักษาโรคในช่องปากได้อีกด้วย เช่น การบูร กานพลู ขิง อบเชย เทียนข้าวเปลือก เทียนสัตตะบุศย์ ผักชีฝรั่ง ผักชีลาว สะระแหน่ แมงลัก ลูกจันทร์เทศ ลูกกระวาน โป๊ยกั๊ก เป็นต้น
https://www.google.co.th/search
Tuesday, July 5, 2016
ใบงานที่ 4 คลังข้อสอบ
ข้อสอบ 7 วิชาสามัญ ปี2555
1.คณิตศาสตร์คลิกที่นี่ + เฉลยคลิกที่นี่2.ฟิสิกส์+เฉลยคลิกที่นี่
3.เคมี+เฉลยคลิกที่นี่
4.ชีววิทยา+เฉลยคลิกที่นี่
5.ภาษาไทย+เฉลยคลิกที่นี่
6.สังคม+เฉลยคลิกที่นี่
7.อังกฤษคลิกที่นี่ + เฉลยคลิกที่นี่
ข้อสอบ 7 วิชาสามัญ ปี2556
2.ฟิสิกส์+เฉลยคลิกที่นี่
3.เคมี+เฉลยคลิกที่นี่
4.ชีววิทยา+เฉลยคลิกที่นี่
5.ภาษาไทย+เฉลยคลิกที่นี่
6.สังคม+เฉลยคลิกที่นี่
7.อังกฤษ+เฉลยคลิกที่นี่
https://www.pinterest.com/pin/486740672205756892/
ข้อสอบ 7 วิชาสามัญ ปี2557
2.ฟิสิกส์คลิกที่นี่
3.เคมีคลิกที่นี่+เฉลยคลิกที่นี่
4.ชีววิทยาคลิกที่นี่
5.ภาษาไทยคลิกที่นี่
6.สังคมคลิกที่นี่
7.อังกฤษคลิกที่นี่
ข้อสอบ ปี 2558
รวม + แนวข้อสอบ และ เฉลยแบบละเอียด
- วิชาภาษาไทย- วิชาสังคม
- วิชาภาษาอังกฤษ
- วิชาคณิตศาสตร์
- วิชาฟิสิกส์
- วิชาเคมี
- วิชาชีววิทยา
- รวมทั้งหมด
จาก http://forum.02dual.com/index.php?topic=8141.0
ข้อสอบ GAT ภาษาอังกฤษ พร้อมเฉลย ปี 52 53 54 55
ข้อสอบ GAT ภาษาอังกฤษ กรกฎาคม 52ข้อสอบ GAT ภาษาอังกฤษ ตุลาคม 52
ข้อสอบ GAT ภาษาอังกฤษ มีนาคม 53
ข้อสอบ GAT ภาษาอังกฤษ กรกฏาคม 53
ข้อสอบ GAT ภาษาอังกฤษ ตุลาคม 53
ข้อสอบ GAT ภาษาอังกฤษ มีนาคม 54
เฉลยข้อสอบ GAT ภาษาอังกฤษ มีนาคม 54
ที่มา http://xn--12cl9ca5a8%A2-%E0%B8%9B%E0%B8%B5-52-53-54-55/
แนวข้อสอบ O-NET วิชาการงานอาชีพและเทคโนโลยี(2552) ชุดที่2
แนวข้อสอบ O-NET วิชาการงานอาชีพและเทคโนโลยี(2552) ชุดที่1
แนวข้อสอบ O-NET วิชาการงานอาชีพและเทคโนโลยี ชุดที่5
แนวข้อสอบ O-NET วิชาการงานอาชีพและเทคโนโลยี ชุดที่4
แนวข้อสอบ O-NET วิชาการงานอาชีพและเทคโนโลยี ชุดที่3
แนวข้อสอบ O-NET วิชาการงานอาชีพและเทคโนโลยี ชุดที่2
แนวข้อสอบ O-NET วิชาการงานอาชีพและเทคโนโลยี ชุดที่1
ที่มา http://www.trueplookpanya.com/examination/all/7000
ข้อสอบO-NETศิลปะ
Tuesday, June 28, 2016
ใบงานที่ 3 พรบ.คอมพิวเตอร์
11 ข้อสำคัญ กฎหมายลิขสิทธิ์ใหม่ เริ่มใช้งาน 4 ส.ค.58นี้!!
“หัวใจหลักของกฎหมายลิขสิทธิ์อยู่ที่การห้ามทำซ้ำ ดัดแปลง และเผยแพร่ต่อสาธารณะ แต่ก็มีข้อยกเว้นคือหากไม่ใช่การทำเพื่อการค้า ต้องมีการอ้างอิงที่มาก่อน สามารถทำได้ ภายใต้ข้อยกเว้นคือต้องไม่ทำให้ผลประโยชน์ของเจ้าของลิขสิทธิ์ลดลง หรือกระทบกระเทือนถึงสิทธิ์ของเจ้าของ”
1.ลิขสิทธิ์คุ้มครอง คือ ต้องเป็นงานที่สร้างสรรค์ขึ้นมาอย่างเป็นรูปธรรม โดยไม่รวมถึงกระบวนการคิดหรือหรือขั้นตอนการสร้างสรรค์ เช่น บทความ ซอฟต์แวร์ เพลง หนังสือ รูปภาพ ภาพถ่าย ภาพข่าว ภาพวาด ภาพยนตร์ ละคร เป็นต้น
2.ลิขสิทธิ์ไม่คุ้มครอง เช่น ข่าวประจำวัน,ข้อเท็จจริงต่างๆ,รัฐธรรมนูญ และกฎหมาย, ระเบียบ, ข้อบังคับ,ประกาศ,คำสั่ง,คำพิพากษา,คำวินิจฉัย,และรายงานของทางราชการ เป็นต้น
3.ห้ามลบ หรือเปลี่ยนแปลง ชื่อเจ้าของลิขสิทธ์
4.ห้ามทำลาย Password ที่เจ้าของลิขสิทธิ์ใช้ป้องกันการเข้าถึง การแฮ็กหรือหลบเลี่ยงมาตรการทางเทคโนโลยี เพื่อเข้าถึงงานลิขสิทธิ์
5.การดูหนัง ฟังเพลง จากเครื่องคอมพิวเตอร์ของตัวเอง ถือว่าไม่ละเมิดลิขสิทธิ์ แต่ห้ามทำซ้ำ
6.ผู้ให้บริการทางอินเตอร์เน็ต เช่น Youtube ถ้าเอางานที่ละเมิดลิขสิทธิ์ออกจากเว็บ ถือว่าไม่ผิด
7.สามารถนำรูปภาพ หนังสือ ซีดีเพลง ไปขายมือสองได้ แต่ต้องดูกฏหมายอื่นๆ รองรับด้วย
8.นักแสดงมีสิทธฺระบุชื่อตัวเองในการแสดง และห้ามไม่ให้ใครทำเสียชื่อเสียง
9.ถ้าปรากฎหลักฐานว่าจงใจละเมิด ศาลสั่งให้จ่ายค่าเสียหายเพิ่มขึ้น ไม่เกิน2 เท่า
10.การนำ Embed ใน Youtube มาลงเว็บไซต์หรือแชร์ ถือว่าไม่ละเมิด
11.ศาลมีอำนาจ สั่งริบ หรือทำลายสื่งที่ละเมิด
ผู้กระทำผิดใหม่ มีโทษปรับ 10,000-100,000บาท
หากกระทำเพื่อเชิงพาณิชย์ มีโทษจำคุก 3 เดือน -2ปี หรือปรับ 50,000-400,000บาท หรือทั้งจำและปรับ
ที่มา http://www.news-mahachon.com/news-images/news-036134.jpg
พระราชบัญญัติ ลิขสิทธิ์ (ฉบับที่ ๒)
พ.ศ. ๒๕๕๘
พระราชบัญญัติ ลิขสิทธิ์ (ฉบับที่ ๒)
พ.ศ. ๒๕๕๘
ภ
ู
มิพลอดุลยเดช ป.ร.
ให้ไว้ ณ วันที่ ๓๑ มกราคม พ.ศ. ๒๕๕๘
เป็นปีที่ ๗๐ ในรัชกาลปัจจุบัน
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้า ฯ
ให้ประกาศว่า
โดยที่เป็นการสมควรแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายว่าด้วยลิขสิทธิ์
จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้ตรา
พระราชบัญญัติขึ้นไว้โดยคําแนะนําและยินยอมของ
สภานิติบัญญัติแห่งชาติ ดังต่อไปนี้
มาตรา ๑ พระราชบัญญัตินี้เรียกว่า “พระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๘”
มาตรา ๒ พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับเมื่อพ้นกําหนดหนึ่งร้อยแปดสิบวันนับแต่วันประกาศ
ในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
มาตรา ๓ ให้เพิ่มบทนิยามคําว่า “ข้อมูลการบริหารสิทธิ” “มาตรการทางเทคโนโลยี” และ
“การหลบเลี่ยงมาตรการทางเทคโนโลยี” ระหว่างบทนิยามคําว่า “การโฆษณา” และ “พนักงานเจ้าหน้าที่”
ในมาตรา ๔ แห่งพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. ๒๕๓๗
““ข้อมูลการบริหารสิทธิ” หมายความว่า ข้อมูลที่บ่งชี้ถึงผู้สร้างสรรค์ งานสร้างสรรค์ นักแสดง
การแสดง เจ้าของลิขสิทธิ์ หรือระยะเวลาและเงื่อนไขการใช้งานอันมีลิขสิทธิ์ ตลอดจนตัวเลขหรือรหัส
แทนข้อมูลดังกล่าว โดยข้อมูลเช่นว่านี้ติดอยู่หรือปรากฏเกี่ยวข้องกับงานอันมีลิขสิทธิ์หรือสิ่งบันทึกการแสดง
“มาตรการทางเทคโนโลยี” หมายความว่า เทคโนโลยีที่ออกแบบมาเพื่อป้องกันการทําซ้ําหรือ
ควบคุมการเข้าถึงงานอันมีลิขสิทธิ์หรือสิ่งบันทึกการแสดง โดยเทคโนโลยีเช่นว่านี้ได้นํามาใช้กับงาน
อันมีลิขสิทธิ์หรือสิ่งบันทึกการแสดงนั้นอย่างมีประสิทธิภาพ
หน้า ๘
เล่ม ๑๓๒ ตอนที่ ๖ ก ราชกิจจานุเบกษา ๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๘
“การหลบเลี่ยงมาตรการทางเทคโนโลยี” หมายความว่า การกระทําด้วยประการใด ๆ ที่ทําให้
มาตรการทางเทคโนโลยีไม่เกิดผล”
มาตรา ๔ ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็นมาตรา ๓๒/๑ มาตรา ๓๒/๒ และมาตรา ๓๒/๓ แห่ง
พระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. ๒๕๓๗
“มาตรา ๓๒/๑ การจําหน่ายต้นฉบับหรือสําเนางานอันมีลิขสิทธิ์โดยผู้ได้มาซึ่งกรรมสิทธ์ในต ิ ้นฉบับ
หรือสําเนางานอันมีลิขสิทธิ์นั้นโดยชอบด้วยกฎหมาย มิให้ถือว่าเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์
มาตรา ๓๒/๒ การกระทําแก่งานอันมีลิขสิทธิ์ที่ทําหรือได้มาโดยชอบด้วยกฎหมายในระบบคอมพิวเตอร์
ที่มีลักษณะเป็นการทําซ้ําที่จําเป็นต้องมีสําหรับการนําสําเนามาใช้เพื่อให้อุปกรณ์ที่ใช้ในระบบคอมพิวเตอร์
หรือกระบวนการส่งงานอันมีลิขสิทธิ์ทางระบบคอมพิวเตอร์ทํางานได้ตามปกติ มิให้ถือว่าเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์
มาตรา ๓๒/๓ ในกรณีที่มีหลักฐานอันควรเชื่อได้ว่ามีการละเมิดลิขสิทธิ์ในระบบคอมพิวเตอร์ของ
ผู้ให้บริการ เจ้าของลิขสิทธิ์อาจยื่นคําร้องต่อศาลเพื่อมีคําสั่งให้ผู้ให้บริการระงับการละเมิดลิขสิทธิ์นั้น
เพื่อประโยชน์แห่งมาตรานี้ ผู้ให้บริการ หมายความว่า
(๑) ผู้ให้บริการแก่บุคคลอื่นในการเข้าสู่อินเทอร์เน็ต หรือให้สามารถติดต่อถึงกันโดยประการอื่น
โดยผ่านทางระบบคอมพิวเตอร์ ทั้งนี้ ไม่ว่าจะเป็นการให้บริการในนามของตนเองหรือในนามหรือเพื่อประโยชน์
ของบุคคลอื่น
(๒) ผู้ให้บริการเก็บรักษาข้อมูลคอมพิวเตอร์เพื่อประโยชน์ของบุคคลอื่น
คารํ ้องตามวรรคหนึ่ง ต้องมีรายละเอียดโดยชัดแจ้งซึ่งข้อมูล หลักฐานและคําขอบังคับ ดังต่อไปนี้
(๑) ชื่อและที่อยู่ของผู้ให้บริการ
(๒) งานอันมีลิขสิทธิ์ที่อ้างว่าถูกละเมิดลิขสิทธิ์
(๓) งานที่อ้างว่าได้ทําขึ้นโดยละเมิดลิขสิทธิ์
(๔) กระบวนการสืบทราบ วันและเวลาที่พบการกระทํา และการกระทําหรือพฤติการณ์ ตลอดทั้ง
หลักฐานเกี่ยวกับการละเมิดลิขสิทธ์ิ
(๕) ความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นจากการกระทําที่อ้างว่าเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์
(๖) คําขอบังคับให้ผู้ให้บริการนํางานที่ทําขึ้นโดยละเมิดลิขสิทธิ์ออกจากระบบคอมพิวเตอร์ของ
ผู้ให้บริการ หรือระงับการละเมิดลิขสิทธิ์ด้วยวิธีอื่นใด
เมื่อศาลได้รับคําร้องตามวรรคหนึ่ง ให้ศาลทําการไต่สวน หากศาลเห็นว่าคําร้องมีรายละเอียด
ครบถ้วนตามวรรคสาม และมีเหตุจําเป็นที่ศาลสมควรจะมีคําสั่งอนุญาตตามคําร้องนั้น ให้ศาลมีคําสั่งให้
ผู้ให้บริการระงับการกระทําที่อ้างว่าเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์หรือนํางานที่อ้างว่าได้ทําขึ้นโดยละเมิดลิขสิทธิ์
ออกจากระบบคอมพิวเตอร์ของผู้ให้บริการตามระยะเวลาที่ศาลกําหนด โดยคําสั่งศาลให้บังคับผู้ให้บริการ
ได้ทันที แล้วแจ้งคําสั่งนั้นให้ผู้ให้บริการทราบโดยไม่ชักช้า ในกรณีเช่นนี้ ให้เจ้าของลิขสิทธิ์ดําเนินคดี
ต่อผู้กระทําละเมิดลิขสิทธิ์ภายในระยะเวลาที่ศาลมีคําสั่งให้ระงับการกระทําที่อ้างว่าเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์
หรือนํางานที่อ้างว่าได้ทําขึ้นโดยละเมิดลิขสิทธิ์ออกจากระบบคอมพิวเตอร์
หน้า ๙
เล่ม ๑๓๒ ตอนที่ ๖ ก ราชกิจจานุเบกษา ๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๘
ในกรณีที่ผู้ให้บริการมิใช่ผู้ควบคุม ริเริ่ม หรือสั่งการให้มีการละเมิดลิขสิทธิ์ในระบบคอมพิวเตอร์
ของผู้ให้บริการ และผู้ให้บริการนั้นได้ดําเนินการตามคําสั่งศาลตามวรรคสี่แล้ว ผู้ให้บริการไม่ต้องรับผิด
เกี่ยวกับการกระทําที่อ้างว่าเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์ที่เกิดขึ้นก่อนศาลมีคําสั่งและหลังจากคําสั่งศาลเป็นอัน
สิ้นผลแล้ว
ผู้ให้บริการไม่ต้องรับผิดต่อความเสียหายใดๆ ที่เกิดขึ้นจากการดําเนินการตามคําสั่งศาลตามวรรคสี่”
มาตรา ๕ ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็นมาตรา ๕๑/๑ แห่งพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. ๒๕๓๗
“มาตรา ๕๑/๑ นักแสดงย่อมมีสิทธทิี่จะแสดงว่าตนเป็นนักแสดงในการแสดงของตน และมีสิทธิ
ห้ามผู้รับโอนสิทธิของนักแสดงหรือบุคคลอื่นใดบิดเบือน ตัดทอน ดัดแปลง หรือทําโดยประการอื่นใด
แก่การแสดงนั้นจนเกิดความเสียหายต่อชื่อเสียง หรือเกียรติคุณของนักแสดง และเมื่อนักแสดงถึงแก่ความตาย
ทายาทของนักแสดงมีสิทธิฟ้องร้องบังคับตามสิทธิดังกล่าวได้ตลอดอายุแห่งการคุ้มครองสิทธิของนักแสดง
ทั้งนี้ เว้นแต่จะได้ตกลงกันไว้เป็นอย่างอื่นเป็นลายลักษณ์อักษร”
มาตรา ๖ ให้ยกเลิกความในมาตรา ๕๓ แห่งพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. ๒๕๓๗ และให้ใช้
ความต่อไปนี้แทน
“มาตรา ๕๓ ให้นํามาตรา ๓๒ มาตรา ๓๒/๒ มาตรา ๓๒/๓ มาตรา ๓๓ มาตรา ๓๔ มาตรา ๓๖
มาตรา ๔๒ และมาตรา ๔๓ มาใช้บังคับแก่สิทธิของนักแสดงโดยอนุโลม”
มาตรา ๗ ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็นหมวด ๒/๑ ข้อมูลการบริหารสิทธิและมาตรการทางเทคโนโลยี
มาตรา ๕๓/๑ มาตรา ๕๓/๒ มาตรา ๕๓/๓ มาตรา ๕๓/๔ และมาตรา ๕๓/๕ แห่งพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์
พ.ศ. ๒๕๓๗
“หมวด ๒/๑
ข้อมูลการบริหารสิทธิและมาตรการทางเทคโนโลยี
มาตรา ๕๓/๑ การลบหรือเปลี่ยนแปลงข้อมูลการบริหารสิทธิ โดยรู้อยู่แล้วว่าการกระทํานั้น
อาจจูงใจให้เกิด ก่อให้เกิด ให้ความสะดวก หรือปกปิดการละเมิดลิขสิทธิ์หรือสิทธิของนักแสดง ให้ถือว่าเป็น
การละเมิดข้อมูลการบริหารสิทธิ
มาตรา ๕๓/๒ ผู้ใดรู้อยู่แล้วว่างานหรือสําเนางานอันมีลิขสิทธิ์นั้นได้มีการลบหรือเปลี่ยนแปลง
ข้อมูลการบริหารสิทธิ ให้ถือว่าผู้นั้นกระทําการละเมิดข้อมูลการบริหารสิทธิด้วย ถ้าได้กระทําการอย่างใด
อย่างหนึ่งแก่งานนั้นดังต่อไปนี้
(๑) นําหรือสั่งเข้ามาในราชอาณาจักรเพื่อจําหน่าย
(๒) เผยแพร่ต่อสาธารณชน
มาตรา ๕๓/๓ การกระทําใดๆ ดังต่อไปนี้ มิให้ถือว่าเป็นการละเมิดข้อมูลการบริหารสิทธิ
หน้า ๑๐
เล่ม ๑๓๒ ตอนที่ ๖ ก ราชกิจจานุเบกษา ๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๘
(๑) การลบหรือเปลี่ยนแปลงข้อมูลการบริหารสิทธิโดยเจ้าพนักงานผู้มีอํานาจตามกฎหมาย
เพื่อบังคับการให้เป็นไปตามกฎหมาย การอันจําเป็นในการป้องกันประเทศ การรักษาความมั่นคงแห่งชาติ
หรือวัตถุประสงค์อื่นในทํานองเดียวกัน
(๒) การลบหรือเปลี่ยนแปลงข้อมูลการบริหารสิทธิโดยสถาบันการศึกษา หอจดหมายเหตุ
ห้องสมุด หรือองค์กรแพร่เสียงแพร่ภาพสาธารณะ ที่ไม่ได้มีวัตถุประสงค์เพื่อหากําไร
(๓) การเผยแพร่ต่อสาธารณชนซึ่งงานหรือสําเนางานอันมีลิขสิทธิ์ที่มีการลบหรือเปลี่ยนแปลง
ข้อมูลการบริหารสิทธิ โดยสถาบันการศึกษา หอจดหมายเหตุ ห้องสมุด หรือองค์กรแพร่เสียงแพร่ภาพ
สาธารณะ ที่ไม่ได้มีวัตถุประสงค์เพื่อหากําไร
ลักษณะของข้อมูลการบริหารสิทธิตาม (๒) และงานหรือสําเนางานอันมีลิขสิทธิ์ที่มีการลบหรือ
เปลี่ยนแปลงข้อมูลการบริหารสิทธิตาม (๓) ให้เป็นไปตามที่กําหนดในกฎกระทรวง
มาตรา ๕๓/๔ การหลบเลี่ยงมาตรการทางเทคโนโลยีหรือการให้บริการเพื่อก่อให้เกิดการหลบเลี่ยง
มาตรการทางเทคโนโลยี โดยรู้อยู่แล้วว่าการกระทํานั้นอาจจูงใจหรือก่อให้เกิดการละเมิดลิขสิทธิ์หรือสิทธิ
ของนักแสดง ให้ถือว่าเป็นการละเมิดมาตรการทางเทคโนโลยี
มาตรา ๕๓/๕ การกระทําตามมาตรา ๕๓/๔ ในกรณีดังต่อไปนี้ มิให้ถือว่าเป็นการละเมิดมาตรการ
ทางเทคโนโลยี
(๑) การกระทํานั้นจําเป็นสําหรับการกระทําแก่งานอันมีลิขสิทธิ์ที่ได้รับยกเว้นการละเมิดลิขสิทธิ์
(๒) เพื่อวิเคราะห์องค์ประกอบที่จําเป็นของโปรแกรมคอมพิวเตอร์ในการใช้งานร่วมกับ
โปรแกรมคอมพิวเตอร์อื่น
(๓) เพื่อประโยชน์แห่งการวิจัย วิเคราะห์ และหาข้อบกพร่องของเทคโนโลยีการเข้ารหัส
โดยผู้กระทําต้องได้มาซึ่งงานหรือสําเนางานอันมีลิขสิทธิ์โดยชอบด้วยกฎหมายและได้ใช้ความพยายาม
โดยสุจริตในการขออนุญาตจากเจ้าของลิขสิทธิ์แล้ว
(๔) เพื่อวัตถุประสงค์เฉพาะในการทดสอบ ตรวจสอบ หรือแก้ไขระบบความมั่นคงปลอดภัย
ของคอมพิวเตอร์ ของระบบคอมพิวเตอร์ หรือของเครือข่ายคอมพิวเตอร์ โดยได้รับอนุญาตจากเจ้าของคอมพิวเตอร์
ระบบคอมพิวเตอร์ หรือเครือข่ายคอมพิวเตอร์ แล้วแต่กรณี
(๕) เพื่อระงับการทํางานของมาตรการทางเทคโนโลยีในส่วนที่เกี่ยวกับการรวบรวมหรือกระจาย
ข้อมูลบ่งชี้ส่วนบุคคลที่สะท้อนให้เห็นถึงกิจกรรมบนอินเทอร์เน็ตของผู้ที่เข้าถึงงานอันมีลิขสิทธิ์
โดยการกระทํานั้นต้องไม่กระทบต่อการเข้าถึงงานอันมีลิขสิทธิ์โดยบุคคลอื่น
(๖) การกระทําโดยเจ้าพนักงานผู้มีอํานาจตามกฎหมาย เพื่อบังคับการให้เป็นไปตามกฎหมาย
การอันจําเป็นในการป้องกันประเทศ การรักษาความมั่นคงแห่งชาติหรือวัตถุประสงค์อื่นในทํานองเดียวกัน
(๗) การกระทําโดยสถาบันการศึกษา หอจดหมายเหตุ ห้องสมุด หรือองค์กรแพร่เสียงแพร่ภาพ
สาธารณะ ที่ไม่ได้มีวัตถุประสงค์เพื่อหากําไร เพื่อเข้าถึงงานอันมีลิขสิทธิ์ที่ไม่อาจเข้าถึงได้ด้วยวิธีอื่น”
มาตรา ๘ ให้ยกเลิกชื่อหมวด ๖ คดีเกี่ยวกับลิขสิทธิ์และสิทธิของนักแสดง แห่งพระราชบัญญัติ
ลิขสิทธิ์ พ.ศ. ๒๕๓๗ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
“หมวด ๖
คดีเกี่ยวกับลิขสิทธิ์ สิทธิของนักแสดง
ข้อมูลการบริหารสิทธิ และมาตรการทางเทคโนโลยี”
มาตรา ๙ ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็นวรรคสองของมาตรา ๖๔ แห่งพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์
พ.ศ. ๒๕๓๗
“ในกรณีที่ปรากฏหลักฐานชัดแจ้งว่าการละเมิดลิขสิทธิ์หรือสิทธิของนักแสดงเป็นการกระทํา
โดยจงใจหรือมีเจตนาเป็นเหตุให้งานอันมีลิขสิทธิ์หรือสิทธิของนักแสดงสามารถเข้าถึงโดยสาธารณชน
ได้อย่างแพร่หลาย ให้ศาลมีอํานาจสั่งให้ผู้ละเมิดจ่ายค่าเสียหายเพิ่มขึ้นไม่เกินสองเท่าของค่าเสียหาย
ตามวรรคหนึ่ง”
มาตรา ๑๐ ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็นมาตรา ๖๕/๑ แห่งพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. ๒๕๓๗
“มาตรา ๖๕/๑ ให้นํามาตรา ๖๓ มาตรา ๖๔ และมาตรา ๖๕ มาใช้บังคับแก่การฟ้องคดี
เกี่ยวกับข้อมูลการบริหารสิทธิและมาตรการทางเทคโนโลยีโดยอนุโลม”
มาตรา ๑๑ ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็นมาตรา ๗๐/๑ แห่งพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. ๒๕๓๗
“มาตรา ๗๐/๑ ผู้ใดกระทําการละเมิดข้อมูลการบริหารสิทธิตามมาตรา ๕๓/๑ หรือมาตรา ๕๓/๒
หรือละเมิดมาตรการทางเทคโนโลยตามมาตรา ี ๕๓/๔ ต้องระวางโทษปรับตั้งแต่หนึ่งหมื่นบาทถึงหนึ่งแสนบาท
ถ้าการกระทําความผิดตามวรรคหนึ่งเป็นการกระทําเพื่อการค้า ผู้กระทําต้องระวางโทษจําคุก
ตั้งแต่สามเดือนถึงสองปี หรือปรับตั้งแต่ห้าหมื่นบาทถึงสี่แสนบาท หรือทั้งจําทั้งปรับ”
มาตรา ๑๒ ให้ยกเลิกความในมาตรา ๗๕ แห่งพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. ๒๕๓๗ และให้ใช้
ความต่อไปนี้แทน
“มาตรา ๗๕ บรรดาสิ่งที่ได้ทําขึ้นหรือนําเข้ามาในราชอาณาจักรอันเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์
หรือสิทธิของนักแสดง และสิ่งที่ได้ใช้ในการกระทําความผิดตามพระราชบัญญัตินี้ ให้ริบเสียทั้งสิ้น
หรือในกรณีที่ศาลเห็นสมควร ศาลอาจสั่งให้ทําให้สิ่งนั้นใช้ไม่ได้หรือจะสั่งทําลายสิ่งนั้นก็ได้ โดยให้ผู้กระทํา
ละเมิดเสียค่าใช้จ่ายในการนั้น”
มาตรา ๑๓ ให้ยกเลิกความในมาตรา ๗๗ แห่งพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. ๒๕๓๗ และให้ใช้
ความต่อไปนี้แทน
“มาตรา ๗๗ ความผิดตามมาตรา ๖๙ วรรคหนึ่ง มาตรา ๗๐ วรรคหนึ่ง และมาตรา ๗๐/๑
วรรคหนึ่ง ให้อธิบดีมีอํานาจเปรียบเทียบได้”
มาตรา ๑๔ บรรดาคดีละเมิดลิขสิทธิ์หรือสิทธิของนักแสดงที่มีการฟ้องคดีอาญาไว้ก่อนวันที่
พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับและยังไม่ถึงที่สุด ให้นํามาตรา ๗๕ แห่งพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. ๒๕๓๗
ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัตินี้ มาใช้บังคับกับสิ่งที่ได้ทําขึ้นหรือนําเข้ามาในราชอาณาจักรอันเป็น
การละเมิดลิขสิทธิ์หรือสิทธิของนักแสดง
มาตรา ๑๕ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์รักษาการตามพระราชบัญญัตินี้
ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา
นายกรัฐมนตรี
Subscribe to:
Posts (Atom)